คมนาคมเตรียมสรุปกรอบการลงทุนพัฒนารถไฟความเร็วสูง ระบุดำเนินการทันทีเส้นทาง กรุงเทพฯ-โคราช คาดเก็บค่าโดยสารคนละ 1,000 บาท ขณะที่เงินลงทุน หากรัฐสร้างรางเองอยู่ที่ กม.ละ 800-1,000 ล้านบาท
เมื่อ วันที่ 14 ก.ย. นายยุทธนา ทัพเจริญ ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า ในวันพรุ่งนี้ (15 ก.ย.) พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม จะเป็นประธานสรุปกรอบการพัฒนารถไฟความเร็วสูง โดยมีผู้บริหาร รฟท. และสำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เข้าร่วม จะมีการนำผลศึกษาที่บริษัทที่ปรึกษาจัดทำไว้เข้ามาพิจารณารายละเอียด เพื่อกำหนดกรอบหลายประเด็น เช่น การพัฒนารถไฟความเร็วสูงโดยใช้รางขนาด 1.435 เมตร หรือสแตนดาร์ดเกจ ซึ่งกระทรวงคมนาคมกำหนดกรอบให้การพัฒนารางขนาดดังกล่าวจะต้องรองรับรถไฟ ความเร็วสูงบรรทุกทั้งผู้โดยสารและสินค้า
โดยจะพิจารณาเรื่องของน้ำหนักและลักษณะการดำเนินการ ซึ่งเบื้องต้นเห็นว่า สามารถดำเนินการได้ ที่ผ่านมา รถไฟความเร็วสูงในสหรัฐอเมริกามีหลายเส้นทางที่ขนาดรางดังกล่าวรองรับทั้ง ผู้โดยสารและขนส่งสินค้า นอกจากนี้ ที่ประชุมวันพรุ่งนี้จะพิจารณาเรื่องการก่อสร้างรางดังกล่าวว่า จะมีการปรับปรุงจากรางเดิม ซึ่งเป็นรางขนาด 1 เมตร หรือมิเตอร์เกจ หรือจะมีการพัฒนารางที่ 3 เป็นแบบสแตนดาร์ดเกจตลอดเส้นทาง ขณะเดียวกันการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงตามแผนที่กระทรวงคมนาคมที่ให้นโยบาย ไว้ จะมีการเร่งรัดทำทันที 5 เส้นทาง ประกอบด้วยกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ กรุงเทพฯ-อุบลราชธานี กรุงเทพฯ-นครราชสีมา-หนองคาย กรุงเทพฯ-หัวหิน-ปะดังเบซาร์ กรุงเทพฯ-ระยอง ขณะที่เส้นทางแรก ที่จะเร่งดำเนินการทันที คือ กรุงเทพฯ-นครราชสีมา
สำหรับรูปแบบการ ลงทุนนั้น เป็นไปได้มากที่สุดคือ ภาครัฐก่อสร้างราง หรือโครงสร้างพื้นฐานเอง และดึงเอกชนเข้ามาร่วมในการเดินรถ ซึ่งจะมีพูดคุยอีกครั้งว่า จะเป็นรูปแบบเอกชนร่วมลงทุนเดินรถ หรือสัมปทานเดินรถ ส่วนอัตราค่าโดยสารตามผลศึกษานั้น ค่าโดยสารรถไฟความเร็วสูง เช่น กรุงเทพฯ –นครราชสีมา จะเก็บคนละ 1,000 บาท แต่จะกำหนดอัตราดังกล่าวหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐบาล ขณะที่เงินลงทุนระบบรถไฟความเร็วสูงนั้น หากภาครัฐก่อสร้างรางเอง ก็จะมีค่าใช้จ่ายกิโลเมตรละ 800-1,000 ล้านบาท.
ที่มา: http://www.thairath.co.th/content/eco/201734
ผู้ติดตาม
14/9/54
13/9/54
กลยุทธ์การค้า B2B
B2B ชื่อนี้สำคัญไฉน?หลายท่านอาจเคยคุ้นหูได้ยินคำว่า B2B, B2C, B2G หรือ แม้กระทั่งB2S (ร้านขายหนังสือชื่อดัง) ก็ตามที แต่อาจจะไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร B2B ผมได้กล่าวไปแล้วว่าเป็น Business-to-business หรือการตลาดระหว่างองค์กรกับองค์กร ในขณะที่ B2C เป็นธุรกิจที่พวกเราน่าจะคุ้นเคยมากที่สุด คือ Business-to-consumer หรือการตลาดระหว่างบริษัทกับผู้บริโภค เช่น Internet Marketing หรือ โปรแกรมส่งเสริมการขายต่างๆ สู่ผู้บริโภค เป็นต้น และ B2G ย่อมาจาก Business-to-government หรือ การตลาดระหว่างองค์กรกับรัฐ เช่น การจัดซื้อของรัฐหรือ e-government
คำศัพท์เหล่านี้ แต่ก่อนเค้าใช้กันเฉพาะแวดวงธุรกิจ E-commerce ครับ แต่ปัจจุบันคำเหล่านี้ก็ขยายไปยังธุรกิจแบบทั่วไปมากขึ้น ดังนั้นปัจจุบัน เราใช้คำว่า B2B ขยายความกิจกรรมใดๆ ก็ตาม ที่เกี่ยวข้องกับการตลาด การขาย รวมถึง ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ (e-commerce) ที่เกิดขึ้นระหว่างองค์กรหนึ่่ง กับองค์กรอื่นๆ โดยส่วนใหญ่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคหรือลูกค้าผู้ซื้อผลิตภัณฑ์ของบริษัทไปใช้โดยตรง ดังนั้นท่านผู้อ่านคงจะมองเห็นภาพว่า ธุรกิจแบบ B2B นี้ต้องอาศัยวิธีการทำการตลาดที่แตกต่างกับการตลาดทั่วๆไป แบบ B2C อยู่พอสมควรครับ
แบบไหนถึงจะเรียกว่าเป็น B2B Marketing
B2B Marketing หมายถึง กิจกรรมทางการตลาดทั้งหมด ที่เกิดขึ้นระหว่างบริษัทกับบริษัทที่เป็นลูกค้านั้นๆ ที่ส่งผลให้เกิดยอดขายระหว่างกันในที่สุด (บางแห่งเรียกว่าการขายสินค้าเข้าสู่องค์กร หรือ institutional sales) ยกตัวอย่างเช่น บริษัทขายอุปกรณ์สำนักงานต่างๆ ธุรกิจประเภทนี้เป็นแบบ B2B มากกว่า B2C หรืออีกนัยหนึ่ง B2B marketing คือกิจกรรมการตลาดที่ก่อให้เกิดยอดขายที่มีผลต่อห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ของบริษัทที่เป็นลูกค้าของเรา ก่อนที่บริษัทนั้นจะดำเนินการผลิตออกเป็นสินค้า (finished product) ขายสู่ผู้บริโภคหรือในที่สุด ธุรกิจประเภทนี้ ก็เช่น บริษัทขายเคมีภัณฑ์ บริษัทขายวัตถุดิบให้โรงงานผลิต เป็นต้น
B2B Marketing..ต้องทำด้วยหรือ
ท่านผู้อ่านหลายท่านพออ่านถึงหัวข้อนี้ คงจะเริ่มคิดแล้วว่า โธ่เอ๋ย ทำการตลาดแบบ B2B มันจะสนุกสนานหรือสร้างความมันส์ให้กับนักการตลาด ได้เท่ากับกิจกรรมการตลาดแบบ B2C ที่มีครบทั้ง 4Ps และ 4Cs อย่างเช่น สินค้าแชมพู น้ำอัดลม เสื้อผ้า ฯลฯ ได้อย่างไรหนอ? ข้อความด้านล่างนี้ เป็นตัวอย่างคำถามหรือ Comment ที่ผมเคย (โดน) ได้รับมาครับ:-
- B2B ก็แค่ขายของเดิมๆ ที่ลูกค้าองค์กรเค้าซื้ออยู่ก็ได้แล้ว ไม่ต้องทำกิจกรรมทางการตลาดอะไรมากมายนี่?
- สินค้า B2B มันขายได้ด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว ต้องลงทุนอะไรเรื่องการตลาดอีก?
- B2B นี่แค่เราขายราคาให้ถูกกว่าคู่แข่งเข้าไว้ก็ได้แล้ว ผู้ผลิตเค้าไม่สนใจอะไรมากหรอก เค้าสนแค่ราคาถูกเท่านั้นแหละ!
- สินค้า B2B ทำไมต้องสร้าง brand ด้วยล่ะ? ผลิตให้มันตรง Spec ที่ลูกค้าต้องการก็ขายได้แล้ว?Brand ไม่มีความสำคัญหรอก!
- ฯลฯ
จากประสบการณ์ที่ผมเป็นนักการตลาดมาจากหลายบริษัท ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นสินค้าแบบ B2B ทั้งนั้น ผมขอยืนยัน (และนอนยัน) ด้วยครับว่า สินค้าแบบ B2B จำเป็นที่จะต้องทำกิจกรรมทางการตลาดและการสื่อสารทางการตลาดครับ และต้องทำอย่างต่อเนื่องด้วย เพื่อให้กลุ่มลูกค้าที่เป็นองค์กร หรือ บริษัทที่เป็นกลุ่มลูกค้าหลัก เกิดความ เชื่อมั่นและ ความภักดี (loyalty) ต่อสินค้าของบริษัทเราและซื้อผลิตภัณฑ์ของเราในที่สุดครับ
ดังนั้น ผู้อ่านท่านใดที่เคยมีความคิดว่าสินค้า B2B ไม่ต้องทำการตลาดใดๆ หรือการทำ B2B marketing นั้นทำยาก เกิดผลช้าอาจถอดใจไม่อยากทำการตลาด B2B ลองติดตามบทความชุดนี้ไปเรื่อยๆ นะครับ ซึ่งท่านอาจจะได้แนวคิดอะไรใหม่ๆ ไปใช้กับธุรกิจของท่านบ้างไม่มากก็น้อยครับ
กรณีศึกษา 1 : B2B Marketing ของ Intelผมเชื่อว่า ท่านผู้อ่านเกือบทุกท่านคงรู้จักตราสินค้า Intel หรือเคยได้ยินคำว่าIntel Inside มาบ้าง ไม่มากก็น้อย และหลายๆท่านคงก็คงใช้คอมพิวเตอร์ที่มีสินค้าชนิดนี้อยู่ข้างในเกือบทุกวันโดยที่อาจจะไม่รู้ ท่านทราบหรือไม่ครับว่า Intel จริงๆแล้วไม่ใช่สินค้า B2C หรือ consumer product นะครับ แต่ Intel ซึ่งก็คือ chip อิเล็กทรอนิกส์ที่ใส่อยู่ในคอมพิวเตอร์เป็นสินค้า แบบ B2B ครับ
ท่านเริ่มสงสัยไหมครับ ว่าทำไมท่านถึงรู้จักตราสินค้า Intel นี้ มากกว่า chip อิเล็กทรอนิกส์ยี่ห้ออื่นๆ และยิ่งไปกว่านั้น บางทีท่านอาจรู้จักตราสินค้า Intel นี้ดีกว่าตราสินค้าประเภท consumer อีกหลายสิบ brand สาเหตุก็เพราะ บริษัท Intel เค้ามุ่งมั่นทำ Marketing สร้างสื่อสารให้กับลูกค้าในกลุ่มต่างๆ มาตั้งแต่ 10 กว่าปีที่แล้วครับ
Intel มองเห็นถึงความสำคัญในการสื่อสารทางการตลาด และพยายามสร้างความแตกต่างกับคู่แข่งผ่านทางเทคโนโลยีและกิจกรรมทางการตลาด จนทำให้สินค้า B2B ชนิดนี้ กลายเป็น top five brands ของโลกได้ในที่สุดเชียวล่ะครับ! การลงทุนด้านกิจกรรมด้านการตลาดอย่างต่อเนื่องนี้ ส่งผลให้ธุรกิจของ Intel เติบโตพร้อมกับการเติบโตของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของโลก โดยบริษัทมีมูลค่าธุรกิจทั่วโลกเพิ่มขึ้นกว่า 250,000 ล้านดอลลาร์ ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาทีเดียวครับ
Intel มองเห็นถึงความสำคัญในการสื่อสารทางการตลาด และพยายามสร้างความแตกต่างกับคู่แข่งผ่านทางเทคโนโลยีและกิจกรรมทางการตลาด จนทำให้สินค้า B2B ชนิดนี้ กลายเป็น top five brands ของโลกได้ในที่สุดเชียวล่ะครับ! การลงทุนด้านกิจกรรมด้านการตลาดอย่างต่อเนื่องนี้ ส่งผลให้ธุรกิจของ Intel เติบโตพร้อมกับการเติบโตของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของโลก โดยบริษัทมีมูลค่าธุรกิจทั่วโลกเพิ่มขึ้นกว่า 250,000 ล้านดอลลาร์ ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาทีเดียวครับ
Intel ใช้กิจกรรมทางการตลาดทั้งทางด้าน?กลยุทธ์การตลาดแบบผลัก(Push Strategy)ไปยังผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ ผ่านทางการทุ่มเงินด้านส่งเสริมการตลาดร่วมกับผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ให้โฆษณาตราสินค้าของ Intel เพื่อผลักดันการขายคอมพิวเตอร์ไปยังผู้แทนจำหน่ายต่างๆ พร้อมกันนั้นก็ยังใช้กลยุทธ์การตลาดแบบดึง (Pull Strategy)โดยการติดสติ๊กเกอร์ตราสินค้าของ Intel ที่คอมพิวเตอร์ เพื่อให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อคอมพิวเตอร์เมื่อเห็นโลโก้ Intel ได้ง่ายที่สุด
ท่านผู้อ่านคงมองเห็นภาพว่า อุปกรณ์Chip อิเล็กทรอนิกส์เป็นสินค้าอุตสาหกรรม หรือ B2B ซึ่งประกอบอยู่ภายในคอมพิวเตอร์ ส่วนใหญ่ผู้บริโภคหรือผู้ใช้อย่างพวกเราไม่เคยเห็นตัวสินค้าเวลาใช้ และบางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเอาไว้ทำอะไร แต่การที่ Intel สื่อสารผ่านกิจกรรมทางการตลาดต่อผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องและชัดเจน ก็ทำให้ผู้บริโภคส่วนหนึ่งเชื่อมั่นในตราสินค้า Intel และตัดสินใจเลือกซื้อคอมพิวเตอร์ที่มี chip ของ Intel ได้ในที่สุด
เห็นไหมครับว่า การตลาดแบบ B2B ก็มีสีสันและความสนุกสนานอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ในบทความต่อไป ผมจะนำเสนอกลยุทธ์การทำตลาดแบบ B2B ที่น่าสนใจมาให้ท่านผู้อ่านอีกครับ โปรดติดตามตอนต่อไปนะครับ
เห็นไหมครับว่า การตลาดแบบ B2B ก็มีสีสันและความสนุกสนานอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ในบทความต่อไป ผมจะนำเสนอกลยุทธ์การทำตลาดแบบ B2B ที่น่าสนใจมาให้ท่านผู้อ่านอีกครับ โปรดติดตามตอนต่อไปนะครับ
ที่มา http://www.na-vigator.com/business-management/marketing/50-b2b-marketing
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)