ผู้ติดตาม

14/9/54

รถไฟความเร็วสูง

คมนาคมเตรียมสรุปกรอบการลงทุนพัฒนารถไฟความเร็วสูง ระบุดำเนินการทันทีเส้นทาง กรุงเทพฯ-โคราช คาดเก็บค่าโดยสารคนละ 1,000 บาท ขณะที่เงินลงทุน หากรัฐสร้างรางเองอยู่ที่ กม.ละ 800-1,000 ล้านบาท

เมื่อ วันที่ 14 ก.ย. นายยุทธนา ทัพเจริญ ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า ในวันพรุ่งนี้ (15 ก.ย.) พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม จะเป็นประธานสรุปกรอบการพัฒนารถไฟความเร็วสูง โดยมีผู้บริหาร รฟท. และสำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เข้าร่วม จะมีการนำผลศึกษาที่บริษัทที่ปรึกษาจัดทำไว้เข้ามาพิจารณารายละเอียด เพื่อกำหนดกรอบหลายประเด็น เช่น การพัฒนารถไฟความเร็วสูงโดยใช้รางขนาด 1.435 เมตร หรือสแตนดาร์ดเกจ ซึ่งกระทรวงคมนาคมกำหนดกรอบให้การพัฒนารางขนาดดังกล่าวจะต้องรองรับรถไฟ ความเร็วสูงบรรทุกทั้งผู้โดยสารและสินค้า

โดยจะพิจารณาเรื่องของน้ำหนักและลักษณะการดำเนินการ ซึ่งเบื้องต้นเห็นว่า สามารถดำเนินการได้ ที่ผ่านมา รถไฟความเร็วสูงในสหรัฐอเมริกามีหลายเส้นทางที่ขนาดรางดังกล่าวรองรับทั้ง ผู้โดยสารและขนส่งสินค้า นอกจากนี้ ที่ประชุมวันพรุ่งนี้จะพิจารณาเรื่องการก่อสร้างรางดังกล่าวว่า จะมีการปรับปรุงจากรางเดิม ซึ่งเป็นรางขนาด 1 เมตร หรือมิเตอร์เกจ หรือจะมีการพัฒนารางที่ 3 เป็นแบบสแตนดาร์ดเกจตลอดเส้นทาง ขณะเดียวกันการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงตามแผนที่กระทรวงคมนาคมที่ให้นโยบาย ไว้ จะมีการเร่งรัดทำทันที 5 เส้นทาง ประกอบด้วยกรุงเทพฯ-เชียงใหม่  กรุงเทพฯ-อุบลราชธานี กรุงเทพฯ-นครราชสีมา-หนองคาย กรุงเทพฯ-หัวหิน-ปะดังเบซาร์ กรุงเทพฯ-ระยอง ขณะที่เส้นทางแรก ที่จะเร่งดำเนินการทันที คือ กรุงเทพฯ-นครราชสีมา

สำหรับรูปแบบการ ลงทุนนั้น เป็นไปได้มากที่สุดคือ ภาครัฐก่อสร้างราง หรือโครงสร้างพื้นฐานเอง และดึงเอกชนเข้ามาร่วมในการเดินรถ ซึ่งจะมีพูดคุยอีกครั้งว่า จะเป็นรูปแบบเอกชนร่วมลงทุนเดินรถ หรือสัมปทานเดินรถ ส่วนอัตราค่าโดยสารตามผลศึกษานั้น ค่าโดยสารรถไฟความเร็วสูง เช่น กรุงเทพฯ –นครราชสีมา จะเก็บคนละ 1,000 บาท แต่จะกำหนดอัตราดังกล่าวหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐบาล ขณะที่เงินลงทุนระบบรถไฟความเร็วสูงนั้น หากภาครัฐก่อสร้างรางเอง ก็จะมีค่าใช้จ่ายกิโลเมตรละ 800-1,000 ล้านบาท.


ที่มา: http://www.thairath.co.th/content/eco/201734

13/9/54

กลยุทธ์การค้า B2B


B2B ชื่อนี้สำคัญไฉน?หลายท่านอาจเคยคุ้นหูได้ยินคำว่า B2B, B2C, B2G หรือ แม้กระทั่งB2S (ร้านขายหนังสือชื่อดัง) ก็ตามที แต่อาจจะไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร B2B ผมได้กล่าวไปแล้วว่าเป็น Business-to-business หรือการตลาดระหว่างองค์กรกับองค์กร ในขณะที่ B2C เป็นธุรกิจที่พวกเราน่าจะคุ้นเคยมากที่สุด คือ Business-to-consumer หรือการตลาดระหว่างบริษัทกับผู้บริโภค เช่น Internet Marketing หรือ โปรแกรมส่งเสริมการขายต่างๆ สู่ผู้บริโภค เป็นต้น และ B2G ย่อมาจาก Business-to-government หรือ การตลาดระหว่างองค์กรกับรัฐ เช่น การจัดซื้อของรัฐหรือ e-government
คำศัพท์เหล่านี้ แต่ก่อนเค้าใช้กันเฉพาะแวดวงธุรกิจ E-commerce ครับ แต่ปัจจุบันคำเหล่านี้ก็ขยายไปยังธุรกิจแบบทั่วไปมากขึ้น ดังนั้นปัจจุบัน เราใช้คำว่า B2B ขยายความกิจกรรมใดๆ ก็ตาม ที่เกี่ยวข้องกับการตลาด การขาย รวมถึง ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ (e-commerce) ที่เกิดขึ้นระหว่างองค์กรหนึ่่ง กับองค์กรอื่นๆ โดยส่วนใหญ่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคหรือลูกค้าผู้ซื้อผลิตภัณฑ์ของบริษัทไปใช้โดยตรง ดังนั้นท่านผู้อ่านคงจะมองเห็นภาพว่า ธุรกิจแบบ B2B นี้ต้องอาศัยวิธีการทำการตลาดที่แตกต่างกับการตลาดทั่วๆไป แบบ B2C อยู่พอสมควรครับ

แบบไหนถึงจะเรียกว่าเป็น B2B Marketing
B2B Marketing หมายถึง กิจกรรมทางการตลาดทั้งหมด ที่เกิดขึ้นระหว่างบริษัทกับบริษัทที่เป็นลูกค้านั้นๆ ที่ส่งผลให้เกิดยอดขายระหว่างกันในที่สุด (บางแห่งเรียกว่าการขายสินค้าเข้าสู่องค์กร หรือ institutional sales) ยกตัวอย่างเช่น บริษัทขายอุปกรณ์สำนักงานต่างๆ ธุรกิจประเภทนี้เป็นแบบ B2B มากกว่า B2C หรืออีกนัยหนึ่ง B2B marketing คือกิจกรรมการตลาดที่ก่อให้เกิดยอดขายที่มีผลต่อห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ของบริษัทที่เป็นลูกค้าของเรา ก่อนที่บริษัทนั้นจะดำเนินการผลิตออกเป็นสินค้า (finished product) ขายสู่ผู้บริโภคหรือในที่สุด ธุรกิจประเภทนี้ ก็เช่น บริษัทขายเคมีภัณฑ์ บริษัทขายวัตถุดิบให้โรงงานผลิต เป็นต้น

B2B Marketing..ต้องทำด้วยหรือ
ท่านผู้อ่านหลายท่านพออ่านถึงหัวข้อนี้ คงจะเริ่มคิดแล้วว่า โธ่เอ๋ย ทำการตลาดแบบ B2B มันจะสนุกสนานหรือสร้างความมันส์ให้กับนักการตลาด ได้เท่ากับกิจกรรมการตลาดแบบ B2C ที่มีครบทั้ง 4Ps และ 4Cs อย่างเช่น สินค้าแชมพู น้ำอัดลม เสื้อผ้า ฯลฯ ได้อย่างไรหนอ? ข้อความด้านล่างนี้ เป็นตัวอย่างคำถามหรือ Comment ที่ผมเคย (โดน) ได้รับมาครับ:-
  • B2B ก็แค่ขายของเดิมๆ ที่ลูกค้าองค์กรเค้าซื้ออยู่ก็ได้แล้ว ไม่ต้องทำกิจกรรมทางการตลาดอะไรมากมายนี่?
  • สินค้า B2B มันขายได้ด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว ต้องลงทุนอะไรเรื่องการตลาดอีก?
  • B2B นี่แค่เราขายราคาให้ถูกกว่าคู่แข่งเข้าไว้ก็ได้แล้ว ผู้ผลิตเค้าไม่สนใจอะไรมากหรอก เค้าสนแค่ราคาถูกเท่านั้นแหละ!
  • สินค้า B2B ทำไมต้องสร้าง brand ด้วยล่ะ? ผลิตให้มันตรง Spec ที่ลูกค้าต้องการก็ขายได้แล้ว?Brand ไม่มีความสำคัญหรอก!
  • ฯลฯ
จากประสบการณ์ที่ผมเป็นนักการตลาดมาจากหลายบริษัท ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นสินค้าแบบ B2B ทั้งนั้น ผมขอยืนยัน (และนอนยัน) ด้วยครับว่า สินค้าแบบ B2B จำเป็นที่จะต้องทำกิจกรรมทางการตลาดและการสื่อสารทางการตลาดครับ และต้องทำอย่างต่อเนื่องด้วย เพื่อให้กลุ่มลูกค้าที่เป็นองค์กร หรือ บริษัทที่เป็นกลุ่มลูกค้าหลัก เกิดความ เชื่อมั่นและ ความภักดี (loyalty) ต่อสินค้าของบริษัทเราและซื้อผลิตภัณฑ์ของเราในที่สุดครับ
ดังนั้น ผู้อ่านท่านใดที่เคยมีความคิดว่าสินค้า B2B ไม่ต้องทำการตลาดใดๆ หรือการทำ B2B marketing นั้นทำยาก เกิดผลช้าอาจถอดใจไม่อยากทำการตลาด B2B ลองติดตามบทความชุดนี้ไปเรื่อยๆ นะครับ ซึ่งท่านอาจจะได้แนวคิดอะไรใหม่ๆ ไปใช้กับธุรกิจของท่านบ้างไม่มากก็น้อยครับ

กรณีศึกษา 1 : B2B Marketing ของ Intelผมเชื่อว่า ท่านผู้อ่านเกือบทุกท่านคงรู้จักตราสินค้า Intel หรือเคยได้ยินคำว่าIntel Inside มาบ้าง ไม่มากก็น้อย และหลายๆท่านคงก็คงใช้คอมพิวเตอร์ที่มีสินค้าชนิดนี้อยู่ข้างในเกือบทุกวันโดยที่อาจจะไม่รู้ ท่านทราบหรือไม่ครับว่า Intel จริงๆแล้วไม่ใช่สินค้า B2C หรือ consumer product นะครับ แต่ Intel ซึ่งก็คือ chip อิเล็กทรอนิกส์ที่ใส่อยู่ในคอมพิวเตอร์เป็นสินค้า แบบ B2B ครับ
ท่านเริ่มสงสัยไหมครับ ว่าทำไมท่านถึงรู้จักตราสินค้า Intel นี้ มากกว่า chip อิเล็กทรอนิกส์ยี่ห้ออื่นๆ และยิ่งไปกว่านั้น บางทีท่านอาจรู้จักตราสินค้า Intel นี้ดีกว่าตราสินค้าประเภท consumer อีกหลายสิบ brand สาเหตุก็เพราะ บริษัท Intel เค้ามุ่งมั่นทำ Marketing สร้างสื่อสารให้กับลูกค้าในกลุ่มต่างๆ มาตั้งแต่ 10 กว่าปีที่แล้วครับ
Intel มองเห็นถึงความสำคัญในการสื่อสารทางการตลาด และพยายามสร้างความแตกต่างกับคู่แข่งผ่านทางเทคโนโลยีและกิจกรรมทางการตลาด จนทำให้สินค้า B2B ชนิดนี้ กลายเป็น top five brands ของโลกได้ในที่สุดเชียวล่ะครับ! การลงทุนด้านกิจกรรมด้านการตลาดอย่างต่อเนื่องนี้ ส่งผลให้ธุรกิจของ Intel เติบโตพร้อมกับการเติบโตของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของโลก โดยบริษัทมีมูลค่าธุรกิจทั่วโลกเพิ่มขึ้นกว่า 250,000 ล้านดอลลาร์ ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาทีเดียวครับ
Intel ใช้กิจกรรมทางการตลาดทั้งทางด้าน?กลยุทธ์การตลาดแบบผลัก(Push Strategy)ไปยังผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ ผ่านทางการทุ่มเงินด้านส่งเสริมการตลาดร่วมกับผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ให้โฆษณาตราสินค้าของ Intel เพื่อผลักดันการขายคอมพิวเตอร์ไปยังผู้แทนจำหน่ายต่างๆ พร้อมกันนั้นก็ยังใช้กลยุทธ์การตลาดแบบดึง (Pull Strategy)โดยการติดสติ๊กเกอร์ตราสินค้าของ Intel ที่คอมพิวเตอร์ เพื่อให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อคอมพิวเตอร์เมื่อเห็นโลโก้ Intel ได้ง่ายที่สุด
ท่านผู้อ่านคงมองเห็นภาพว่า อุปกรณ์Chip อิเล็กทรอนิกส์เป็นสินค้าอุตสาหกรรม หรือ B2B ซึ่งประกอบอยู่ภายในคอมพิวเตอร์ ส่วนใหญ่ผู้บริโภคหรือผู้ใช้อย่างพวกเราไม่เคยเห็นตัวสินค้าเวลาใช้ และบางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเอาไว้ทำอะไร แต่การที่ Intel สื่อสารผ่านกิจกรรมทางการตลาดต่อผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องและชัดเจน ก็ทำให้ผู้บริโภคส่วนหนึ่งเชื่อมั่นในตราสินค้า Intel และตัดสินใจเลือกซื้อคอมพิวเตอร์ที่มี chip ของ Intel ได้ในที่สุด
เห็นไหมครับว่า การตลาดแบบ B2B ก็มีสีสันและความสนุกสนานอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ในบทความต่อไป ผมจะนำเสนอกลยุทธ์การทำตลาดแบบ B2B ที่น่าสนใจมาให้ท่านผู้อ่านอีกครับ โปรดติดตามตอนต่อไปนะครับ

ที่มา คุณชลภพ กรองทอง






ที่มา http://www.na-vigator.com/business-management/marketing/50-b2b-marketing

28/8/54

"อนุดิษฐ์"สั่งหน่วยงานใต้สังกัดสานนโยบายรัฐบาล ปูพรม"ไวไฟ-บรอดแบนด์"ทั่วปท.



น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวว่า หลังจากรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว จะได้นำนโยบายดังกล่าวมามอบหมายงานให้หน่วยงานในสังกัดต่อไป ซึ่งทราบว่ามจ.ทีโอทีเตรียมจะขอให้ไอซีที ส่งโครงการโครงข่ายอัจฉริยะเพื่ออนาคต (เอ็นจีเอ็น) ให้ที่ประชุม ครม. อนุมัติ เช่นเดียวกับบมจ. กสท โทรคมนาคม ที่มีโครงการจัดทำอุปกรณ์เชื่อมต่อสัณญาณ (ทรานมิสชั่น) ในโครงการ 3จีเทคโนโลยีเอชเอสพีเอระหว่าง กสท และกลุ่มทรู  แต่ทั้งหมดคงต้องรอพิจารณารายละเอียดให้ถี่ถ้วนอีกครั้ง


ทั้งนี้ การดำเนินงานโดยหลักของกระทรวงไอซีทีต้องเป็นไปตามแผนแม่บทกระทรวงไอซีที และนโยบายบรอดแบนด์แห่งชาติที่ต้องมีโครงข่ายบรอดแบนด์ครอบคลุมประชากร 80% ในปี 2558 และมากถึง 95% ในปี2563  พร้อมกับสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ที่ประชาชนต้องได้รับบริการภาครัฐอย่างทั่วถึงทั้งด้านการศึกษา สาธารณสุข การเตือนภัยพิบัติที่ต้องใช้ระบบไอซีทีช่วยยกระดับขีดความสามารถด้านแข่งขัน

สำหรับแผนงบประมาณประจำปี 2555 ที่สำนักงานปลัดกระทรวงไอซีที ได้รายงานมานั้น กระทรวงไอซีทีได้ของบประมาณทั้งหมด ประมาณ 5,000 ล้านบาท  แบ่งเป็น 6 หน่วยงาน คือ สำนักงานปลัดกระทรวงไอซีที 1,175 ล้านบาท กรมอุตุนิยมวิทยา 1,217 ล้าน บาท สำนักงานสถิติแห่งชาติ 1,108 ล้านบาท สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)  379 ล้านบาท สำนักรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ 1,022 ล้านบาท และสำนักงานธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์  96 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ"รายงานด้วยว่า ในช่วงเช้าวันนี้ (23ส.ค.2554) ในการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อสภาฯมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับนโยบายด้านไอซีทีดังต่อไปนี้

1.พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเร่งพัฒนาโครงข่ายสื่อสารความเร็วสูงให้ครอบคลุม ทั่วถึง เพียงพอ มีคุณภาพด้วยราคาที่เหมาะสม และการแข่งขันที่เป็นธรรม เพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศไปสู่สังคมแห่งความรู้ ภูมิปัญญา นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ ช่วยลดความเหลื่อมล้ำระหว่างสังคมเมืองและชนบท สนับสนุนการเข้าถึงข้อมูลและข่าวสาร ยกระดับคุณภาพการศึกษา เสริมสร้างศักยภาพในการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ส่งเสริมการลดใช้พลังงาน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศในระยะยาว

2.ส่งเสริมการเข้าถึงการใช้บริการอินเทอร์เน็ตสาธารณะที่มีการใช้งานตามความเหมาะสมโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ผลักดันให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และ กิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ใช้กองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และ กิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยน์สาธารณะ จัดให้มีบริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ตตามมาตรฐานในการให้บริการในพื้นที่สาธารณะ สถานที่ราชการ และ สถานศึกษาที่กำหนดโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย หรือ กำหนดเป็นเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการจัดให้บริการโทรคมนาคมอย่างทั่วถึง

3.ส่งเสริมการใช้คลื่นความถี่อันเป็นทรัพยากรของชาติให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ อีกทั้งดำรงรักษาไว้ซึ่งสิทธิอันพึงได้ของประเทศในการใช้เทคโนโลยีด้านการสื่อสารโทรคมนาคมเหนือพื้นผิวโลก

4.ส่งเสริมการใช้สื่อวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ ทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน รวมทั้งการพัฒนาการปรับเปลี่ยนระบบการใช้เทคโนโลยีจากระบบอนาล็อกเป็นระบบดิจิตอล ทั้งนี้ ต้องคำนึงถึงการก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งต่อประชาชนและประเทศชาติ โดยผลักดันให้กสทช. ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง

5.ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาอุสาหกรรมซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง และจัดให้มีกลไกสนับสนุนแหล่งทุนสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีด้านไอซีที รวมทั้งพัฒนาบุคลากรให้มีศักยภาพได้มาตรฐานและสอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรมเพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านไอซีทีในภูมิภาค



ที่มา: http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1314106005&grpid=&catid=05&subcatid=0504

27/8/54

CSR

ซีเอสอาร์ เป็นคำย่อจากภาษาอังกฤษว่า Corporate Social Responsibility (CSR) หรือ บรรษัทบริบาล หมายถึง การดำเนินกิจกรรมภายในและภายนอกองค์กร ที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมทั้งในระดับใกล้และไกล ด้วยการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในองค์กรหรือทรัพยากรจากภายนอกองค์กร ในอันที่จะทำให้อยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างเป็นปกติสุข

หากพิจารณาแยกเป็นรายคำศัพท์ คำว่า Corporate มุ่งหมายถึงกิจการที่ดำเนินไปเพื่อแสวงหาผลกำไร (หมายรวมถึงองค์กรประเภทอื่นได้ด้วย) ส่วนคำว่า Social ในที่นี้ มุ่งหมายถึงกลุ่มคนที่มีความสัมพันธ์กันหรือมีวิถีร่วมกันทั้งโดยธรรมชาติหรือโดยเจตนา รวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่นและสิ่งแวดล้อมที่อยู่รายรอบประกอบ และคำว่า Responsibility มุ่งหมายถึงการยอมรับทั้งผลที่ไม่ดีและผลที่ดีในกิจการที่ได้ทำลงไปหรือที่อยู่ในความดูแลของกิจการนั้นๆ ตลอดจนการรับภาระหรือเป็นธุระดำเนินการป้องกันและปรับปรุงแก้ไขผลที่ไม่ดี รวมถึงการสร้างสรรค์และบำรุงรักษาผลที่ดีซึ่งส่งกระทบไปยังผู้มีส่วนได้เสียกลุ่มต่างๆ



คำว่า กิจกรรม (activities) ในความหมายข้างต้น หมายรวมถึง การคิด การพูด และการกระทำ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ การวางแผน การตัดสินใจ การสื่อสารประชาสัมพันธ์ การบริหารจัดการ และการดำเนินงานขององค์กร

สังคมในความหมายของความรับผิดชอบต่อสังคมของกิจการ จะพิจารณาตั้งแต่ผู้มีส่วนได้เสียในองค์กร ได้แก่ ผู้ถือหุ้น ผู้บริหาร พนักงาน และผู้มีส่วนได้เสียนอกองค์กร ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ระดับ ได้แก่ สังคมใกล้ และสังคมไกล

สังคมใกล้ คือ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับองค์กรโดยตรง ได้แก่ ลูกค้า คู่ค้า ครอบครัวของพนักงาน ชุมชนที่องค์กรตั้งอยู่ ซึ่งรวมถึงสิ่งแวดล้อมหรือระบบนิเวศ

สังคมไกล คือ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับองค์กรโดยอ้อม ได้แก่ คู่แข่งขันทางธุรกิจ ประชาชนทั่วไป เป็นต้น

ในระดับของลูกค้า ตัวอย่างซีเอสอาร์ของกิจการ ได้แก่ การสร้างผลิตภัณฑ์ที่เน้นคุณค่ามากกว่ามูลค่า ความรับผิดชอบในผลิตภัณฑ์ต่อผู้บริโภค การให้ข้อมูลขององค์กรและตัวผลิตภัณฑ์อย่างเพียงพอและอย่างถูกต้องเที่ยงตรง มีการให้บริการลูกค้าอย่างตรงไปตรงมา เป็นต้น

ในระดับของคู่ค้า ตัวอย่างซีเอสอาร์ของกิจการ ได้แก่ การแบ่งปันหรือการใช้ทรัพยากรร่วมกันหรือการรวมกลุ่มในแนวดิ่งตามสายอุปทาน ความรอบคอบระมัดระวังในการผสานประโยชน์อย่างเป็นธรรม ไม่เอารัดเอาเปรียบต่อคู่ค้า เป็นต้น

ในระดับของชุมชนและสภาพแวดล้อม ตัวอย่างซีเอสอาร์ของกิจการ ได้แก่ การสงเคราะห์เกื้อกูลชุมชนที่องค์กรตั้งอยู่ การส่งเสริมแรงงานท้องถิ่นให้มีโอกาสในตำแหน่งงานต่างๆ ในองค์กร การสนับสนุนแนวทางการระแวดระวังในการดำเนินงานที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานที่อาจส่งผลกระทบต่อชุมชนที่องค์กรตั้งอยู่ และการเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่นเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข เป็นต้น

ในระดับของประชาสังคม ตัวอย่างซีเอสอาร์ของกิจการ ได้แก่ การสร้างความร่วมมือระหว่างกลุ่มหรือเครือข่ายอื่นๆ ในการพัฒนาสังคม การตรวจตราดูแลมิให้กิจการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชน การรับฟังข้อมูลหรือทำประชาพิจารณ์ต่อการดำเนินกิจการที่ส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม และการทำหน้าที่ในการเสียภาษีอากรให้รัฐอย่างตรงไปตรงมา เป็นต้น

ในระดับของคู่แข่งขันทางธุรกิจ ตัวอย่างซีเอสอาร์ของกิจการ ได้แก่ การดูแลกิจการมิให้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการแข่งขันด้วยวิธีการทุ่มตลาด การดำเนินงานในทางต่อต้านการทุจริต รวมทั้งการกรรโชก และการให้สินบนในทุกรูปแบบ เป็นต้น


(ปรับปรุง: สิงหาคม 2553)


ที่มา:http://thaicsr.blogspot.com/2006/03/blog-post_20.html

25/8/54

Blue Ocean Strategy

Blue Ocean Strategy

          Blue Ocean Strategy  หรือ กลยุทธ์ทะเลสีน้ำเงิน เป็นแนวคิดที่มาจากนักวิชาการสองคนชื่อ W. Chan Kim และ Renee Mauborgne   ซึ่งทั้งคู่เป็นอาจารย์จาก INSEAD สถาบันทางด้านบริหารธุรกิจชื่อดังในฝรั่งเศส เช่นเดียวกับพัฒนาการของแนวคิดทางการจัดการอื่นๆ ที่โด่งดัง  นักวิชาการทั้งสองท่านได้ร่วมกันเขียนบทความที่นำไปสู่เรื่องของ Blue Ocean  ในวารสาร Harvard Business Review         

           หลักการของ Blue Ocean นั้น จะไม่มุ่งเน้นที่จะตอบสนองต่ออุปสงค์ที่มีอยู่ แต่จะเน้นในการสร้างความต้องการหรืออุปสงค์ขึ้นมาใหม่ หรือที่เรียกว่า Demand Creation โดยไม่สนใจและให้ความสำคัญกับคู่แข่งเดิมๆ ที่อยู่ในอุตสาหกรรม เป็นการสร้างความต้องการของลูกค้า และอุตสาหกรรมใหม่ขึ้นมา ก่อให้เกิดประโยชน์หรือคุณค่าทั้งต่อองค์กรเองและลูกค้า โดยลูกค้าก็จะได้รับคุณค่าที่ก่อให้เกิดความแตกต่าง ในขณะที่องค์กรก็จะลดต้นทุนในส่วนที่ไม่จำเป็น และนำไปสู่การเติบโตขององค์กร



หลักการของ Blue Ocean Strategy

           หลักการของ Blue Ocean Strategy พยายามหักล้างแนวคิดทางด้านกลยุทธ์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน โดยเสนอว่า แทนที่จะมุ่งลอกเลียนแบบและเอาชนะคู่แข่งขัน ถ้าองค์กรต้องการที่จะเติบโตจริงๆ จะต้องแสวงหาทะเลแห่งใหม่ แทนที่จะเป็นทะเลที่แดงด้วยเลือด(red ocean)  แบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเขาก็อุปมาเหมือนกับเป็น Blue Ocean Strategy โดยมีแนวทางในการวิเคราะห์อยู่สี่ข้อได้แก่

          1.การยกเลิก (Eliminated) ของบางอย่างที่เราเคยคิดว่า ลูกค้าต้องการ แต่จริงๆ แล้ว ในปัจจุบันลูกค้า อาจจะไม่มีความต้องการเลยก็ได้

          2.การลด (Reduced) การนำเสนอคุณค่าบางอย่างให้ต่ำกว่าอุตสาหกรรม ซึ่งเราอาจจะเคยคิดว่าคุณค่านั้นๆ ลูกค้ามีความต้องการมาก แต่จริงๆ อาจจะไม่มากอย่างที่เราคิด

          3.การเพิ่ม (Raised) ปัจจัยบางอย่างให้สูงกว่าระดับอุตสาหกรรม

          4.การสร้าง (Created) คุณค่าบางประการที่ไม่เคยมีการนำเสนอ ในอุตสาหกรรมมาก่อน

          ข้อเตือนใจที่สำคัญคือ ต่อให้เราสร้าง Blue Ocean ขึ้นมาได้ ไม่ช้าคู่แข่งขันใหม่ๆ ก็อยากจะเข้ามา และถ้าไม่ระวังสุดท้ายก็จะเป็น Red Ocean เหมือนเดิม ดังนั้น ถ้าต้องการประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง จะต้องคิดหาทางสร้าง Blue Ocean ขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ



ตัวอย่างอุตสาหกรรมที่ใช้กลยุทธ์ Blue Ocean
          เครื่องสำอางค์ Body Shop ได้ใช้กลยุทธ์ Blue Ocean ในการขายเครื่องสำอางค์ของตนเอง นั่นคือแทนที่จะมุ่งเน้นทำเหมือนคู่แข่งขันรายเดิมๆ ที่อยู่ในธุรกิจเครื่องสำอาง ไม่ว่าจะเป็นการเน้นการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่สวยงาม หรือการสร้างภาพลักษณ์ของเทคโนโลยีชั้นสูง หรือการใช้ดาราหรือนางแบบชื่อดังมาโฆษณา หรือการตั้งราคาที่สูง

          สิ่งที่ Body Shop นำเสนอคือคุณค่าที่แตกต่างจากผู้เล่นรายอื่นๆ ในตลาดเครื่องสำอาง แต่จะเน้นการใช้ส่วนผสมตามธรรมชาติ และการดำรงชีวิตแบบมีสุขภาพที่สมบูรณ์ และพยายามนำเสนอคุณค่าใหม่ๆ ให้ลูกค้า เป็นการสร้าง Blue Ocean ขึ้นมา แทนที่จะมุ่งเน้นแต่ Red Ocean แบบเดิมๆ

ที่มา  มองมุมใหม่ : รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

24/8/54

CRM

แนวคิดพื้นฐานของการบริหารลูกค้าสัมพันธ์ (CRM)
 
             การพัฒนาระบบการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพมีสิ่งสำคัญที่เป็นหลักของการบริหาร คือ การตระหนักถึงความสำคัญของลูกค้าแต่ละราย ว่าลูกค้าแต่ละรายนั้นมีความสำคัญไม่เท่ากัน การที่องค์การสามารถทำให้ลูกค้าจงรักภักดีต่อองค์การได้นั้น เป็นหัวใจหลักในการนำองค์การไปสู่ความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจระยะยาว

             CRM เป็นเครื่องมือทางการบริหารจัดการซึ่งถูกนำมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์เพื่อช่วยให้องค์การสามารถจัดการกระบวนการต่าง ๆ ภายในองค์การให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ เพื่อให้เกิดความพึงพอใจสูงสุดต่อองค์การ

             การบริหาร CRM จะประสบความสำเร็จได้นั้นมีขั้นตอนที่สำคัญ ดังนี้ คือ

             1. มีการร่วมมือกันอย่างทุมเทในการดำเนินกลยุทธ์ CRM ของบุคลากรทุกระดับในองค์การ

             2. พนักงานทุกระดับและทุกหน่วยเก็บข้อมูลเพื่อสนับสนุนระบบ CRM อย่างถูกต้อง

             3. เครื่องมือ CRM จะต้องสอดคล้องกับตัวระบบการให้บริหารเพื่อให้พนักงานและลูกค้ามีความสะดวกในการใช้งาน 

             4. ใช้ข้อมูลรายงาน CRM ที่จำเป็นและมีการแบ่งปันไปสู่ทีมงาน

             5. การดำเนินกลยุทธ์ CRM นั้นไม่ใช่การมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีราคาแพงเป็นหัวใจสำคัญแต่องค์การสามารถใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ถึงแม้ว่าจะเป็นเทคโนโลยีราคาถูกแต่องค์การสามารถใช้ให้เกิดประสิทธิภาพได้ หากเปรียบเทียบกับการนำเทคโนโลยี ไฮ-เทคเข้ามาใช้แล้วทำให้เกิดความวุ่นวาย และเพิ่มต้นทุนมหาศาล การใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ก็จะก่อให้เกิดคุณค่ามากกว่า

             การทำ CRM จะเป็นตัวช่วยบอกองค์การว่าควรจะรักษาลูกค้าประเภทใด
             แนวคิดเกี่ยวการเก็บรักษาลูกค้าให้ได้นาน ๆ นั้นจะช่วยลดต้นทุน 

             เนื่องจากถ้าองค์การสามารถรักษาลูกค้าให้อยู่กับองค์การได้ จะช่วยเป็นการลดต้นทุนที่เกิดจากการลดการทำงานให้เหลือน้อยครั้ง องค์การไม่ต้องเริ่มกระบวนการทำงานใหม่บ่อย ๆ ถ้าหากลูกค้าเข้า ๆ ออก ๆ จะทำให้เสียต้นทุนและไม่เกิดโอกาสในการทำกำไร ซึ่งโอกาสในการทำกำไรนั้นส่วนหนึ่งมาจาก การทำ Cross Selling และ Up Selling

Cross Selling หมายถึง การซื้อต่อเนื่อง
Up Selling หมายถึง การซื้อต่อยอด

สถิติเพื่อการวิเคราะห์การดำเนินการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าระยะยาว

             1.ต้นทุนของการแสวงหาลูกค้าใหม่มีค่าเป็น 6 เท่า ของต้นทุนในการรักษาลูกค้าเดิมไว้

             2.ลูกค้าที่ไม่พอใจในสินค้าและบริการ จะบอกต่อ 10 คน ถึง ความไม่พอใจในสินค้าและบริการ

             3.มีลูกค้า 91% ของลูกค้าที่ไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ต่อข้อร้องเรียนจะไม่กลับมาใช้บริการและซื้อสินค้าจากองค์การเหล่านั้นอีก หรือ เลิกเป็นลูกค้ากับองค์การเหล่านั้น

             4.มีลูกค้า 4% ที่ไม่พอใจที่จะร้องเรียนกลับมายังองค์การ

             5.มีลูกค้ามากกว่า 65 % ที่ไม่กลับมาเป็นลูกค้าขององค์การอีก ทั้งนี้สาเหตุส่วนใหญ่มากจากการไม่ดูแลเอาใจใส่ มากกว่าความพึงพอใจในคุณภาพของสินค้า

หลักการสำคัญในการบริหารลูกค้าสัมพันธ์

             1. การมีฐานข้อมูลของลูกค้า ฐานข้อมูลต้องถูกต้องและทันสมัยอยู่เสมอ สามารถเรียกดูได้จากทุกหน่วยงานในองค์การที่เกี่ยวข้องกับลูกค้า มีการแยกประเภทลูกค้าจากฐานข้อมูล เนื่องจากลูกค้าแต่ละรายมี Value ไม่เท่ากัน ซึ่งลูกค้าประกอบด้วย ลูกค้าเริ่มแรก ลูกค้าที่ช่วยประชาสัมพันธ์ และลูกค้าที่ซื้อซ้ำ

             2. การมีเทคโนโลยี เทคโนโลยีที่เข้ามาเกี่ยวข้องนั้น ประกอบด้วย เทคโนโลยีที่เพิ่มช่องทางให้ลูกค้าสามารถติดต่อกับองค์การได้ เช่น ระบบ Call center,Web site,Interactive voice Response เป็นต้น และอีกตัวหนึ่งเทคโนโลยีที่ช่วยในเรื่องของการวิเคราะห์ว่าองค์การจะใช้ software ในการประมวลผลอย่างไร เช่น ใช้เพื่อการแยกแยะลูกค้า และการจัดลำดับความสำคัญของลูกค้า

             3. การปฏิบัติเพื่อรักษาลูกค้า เนื่องจากข้อมูล Database สามารถทำให้องค์การแยกแยะลูกค้าได้ว่ากลุ่มใดเป็นกลุ่มที่ทำกำไรสูงสุดให้กับองค์การ หลังจากนั้นองค์การต้องมากำหนดวิธีปฏิบัติต่อลูกค้าเหล่านั้น เพื่อสร้าง Relationship Program เพื่อให้เข้าถึงการให้บริการลูกค้าแต่ละรายอย่างเหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น การจัดทำ Frequency Marketing Program การจัดทำโปรแกรม Loyalty Program หรือการจัดทำโปรแกรม Community Program เป็นต้น

             4. การประเมินผล เพื่อให้ทราบว่าองค์การสามารถรักษาลูกค้าได้มากขึ้นหรือไม่อย่างไร โดยเกณฑ์ต่าง ๆ จะต้องเปลี่ยนไป จุดเน้น หรือ Focus ขององค์การต้องเปลี่ยนมาอยู่ที่การรักษาลูกค้า (Keep Relation)ในระยะยาว และ เพิ่มValue ให้กับลูกค้าให้มากกว่าคุณค่าที่ลูกค้าคาดหวัง

 

 

ที่มา : http://www.bloggang.com/  
 

8/7/54

ประวัติส่วนตัว

ชื่อ-นามสกุล  ชลากร เอกชัยพัฒนกุล

ชื่อเล่น  อู๋

วันเกิด  23/07/1988

อายุ  23

ที่อยุ่  398 ถ.เชียงใหม่-ลำปาง  ต.ฟ้าฮ่าม  อ.เมือง  จ.เชียงใหม่  50000

เบอร์โทรศัพท์  081-9804512

อีเมล์  Chalakonvns@gmail.com